โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านท่าวังหิน
หมู่ที่ ๔ บ้านท่าวังหิน ตำบลเขาจ้าว อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ประวัติความเป็นมา
1.ประวัติความเป็นมา/ก่อตั้ง/การเสด็จฯเยี่ยม
ประวัติของโรงเรียน
โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านท่าวังหินตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลเขาจ้าว อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 77120 มีพื้นที่รวม 40 ไร่ เมื่อ 22พฤษภาคม พ.ศ.2532ตั้งเป็นโรงเรียนชั่วคราวอาศัยศาลาการเปรียญสำนักสงฆ์ท่าวังหิน เป็นสถานที่ให้ความรู้แก่เด็กในหมู่บ้านและเด็กในพื้นที่ใกล้เคียงสาเหตุที่ต้องแยกสาขาออกมาสืบเนื่องมาจากประชาชนเห็นว่าการให้บุตรหลานเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านเขาจ้าวเป็นระยะทางประมาณ 4 - 5กิโลเมตร ต้องข้ามแม่น้ำปราณบุรี ซึ่งมีความยากลำบากในการเดินทาง บางครั้งฝนตกหนักเด็กนักเรียนไม่สามารถเดินทางไปโรงเรียนได้ เนื่องจากอันตรายจากน้ำป่าไหลหลากประชาชนและคณะกรรมการหมู่บ้านจึงลงความเห็นให้แยกสาขาออกมา โดยได้ทำการสำรวจเด็กที่มีอายุอยู่ในเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ และเด็กนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำปราณบุรี และคนละหมู่บ้านของหมู่บ้านเขาจ้าว ให้ได้เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านท่าวังหินโดยทำหนังสือร้องขอไปยังกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่14อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดทำการสอนมีนักเรียน จำนวน 53คน มีครูตำรวจตระเวนชายแดน 3นาย เปิดทำการสอนตั้งแต่ ชั้นเด็กก่อนวัยเรียน ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
เมื่อปี พ.ศ. 2535 ประชาชนและคณะกรรมการหมู่บ้าน จึงได้ปรึกษาหารือกันเพื่อจัดสร้างอาคารเรียนถาวรขึ้น โดยขอใช้ที่ดินสาธารณะประโยชน์ของหมู่บ้านท่าวังหิน จำนวน 40ไร่ (เขตปลอดภัยในราชการทหาร “ค่ายธนะรัชต์” อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) และได้ทำการก่อสร้างอาคารถาวรขึ้น จำนวน 1หลัง 7ห้องเรียน ได้รับการสนับสนุนและร่วมมือจากผู้ปกครองของนักเรียนและผู้มีจิตศรัทธามอบวัสดุ อุปกรณ์ให้ เมื่อทำการก่อสร้างเสร็จได้มาทำการจัดการเรียนการสอนที่อาคารถาวร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2536จนถึงปัจจุบัน และได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18มิถุนายน 2540มีอาคารประกอบการ 5 อาคารหลัก คือ อาคารเรียนถาวร จำนวน 1หลัง 7ห้องเรียน ได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครอง และคณะกรรมการหมู่บ้าน และผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันจัดสร้าง อาคารเอนกประสงค์ จำนวน 1หลัง ซึ่งการก่อสร้างอาคาร ได้รับความร่วมมือจากคุณสุชาติ - คุณวันทนี ศรีทองกิติกุล ราษฎรตลาดปราณบุรีได้มอบอาคารเรียนเก่าที่ได้ทำการรื้อถอนเพื่อจัดสร้างเป็นอาคารเอนกประสงค์ประจำโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านท่าวังหิน อาคารโรงอาหาร โรงครัว จำนวน ๑ หลัง ได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครอง นักเรียน และคณะกรรมการหมู่บ้านร่วมกันจัดสร้างอาคารสหกรณ์จำนวน1หลังได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานสหกรณ์ จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ อาคารเรียนต้นกล้าอาวียองซ์ จำนวน 1 หลัง 4 ห้องเรียน สร้างโดยบริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด
ปัจจุบันเปิดทำการสอน ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งหมด 100 คน เป็นชาย 54 คน เป็นหญิง 46 คน ครูตำรวจตระเวนชายแดน 7 คน ผู้ดูแลเด็กเล็ก 2คน ครูคู่พัฒนา 1 คน โดยมี ร.ต.ท.นพดล หอมเมือง ทำหน้าที่ครูใหญ่
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเยี่ยมโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านท่าวังหิน จำนวน ๔ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ครั้งที่ (๒๑๘)
ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ (๔๕๔)
ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ (๕๗๘)
ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ครั้งที่ (๗๖๗)
2.ที่ตั้ง พิกัด ละติจูด/ลองติจูด
หมู่บ้านท่าวังหินหมู่ที่4ตำบลเขาจ้าว อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
พิกัด NP790664 ละติจูด 12.3593717 / ลองจิจูด99.7266678
3. ระดับชั้นเรียนทีเปิดสอน
ปัจจุบันเปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นเด็กเล็กก่อนวัยเรียน ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ
- ข้อมูลจำนวนนักเรียน แยกชาย- หญิง ระดับชั้นที่เปิดสอน
ระดับชั้น |
จำนวนนักเรียน (คน) |
||
ชาย |
หญิง |
รวม |
|
อนุบาล 1 |
11 |
8 |
19 |
อนุบาล 2 |
9 |
6 |
15 |
อนุบาล 3 |
- |
- |
- |
รวมชั้นอนุบาล |
20 |
14 |
34 |
ประถมศึกษาปีที่ 1 |
7 |
6 |
13 |
ประถมศึกษาปีที่ 2 |
5 |
3 |
8 |
ประถมศึกษาปีที่ 3 |
3 |
10 |
13 |
ประถมศึกษาปีที่ 4 |
5 |
3 |
8 |
ประถมศึกษาปีที่ 5 |
8 |
5 |
13 |
ประถมศึกษาปีที่ 6 |
6 |
5 |
11 |
รวมชั้นประถมศึกษา |
34 |
32 |
66 |
รวมนักเรียนทั้งหมด |
54 |
46 |
100 |
5.ชื่อผู้บริหาร ครูใหญ่/เบอร์โทรที่สามารถติดต่อได้
ร.ต.ท.นพดล หอมเมือง โทร 098-5825408
6.ข้อมูลจำนวนครูและบุคลากรในโรงเรียน
ครู ตชด. 7 คน ผู้ดูแลเด็กจำนวน 2 คน ครูคู่พัฒนา 1คน
7.ข้อมูลโครงการพระราชดำริที่สำคัญในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านท่าวังหิน
1.โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน
ความเป็นมา
เป็นโครงการแรกที่เริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2523 โดยมุ่งเน้นให้นักเรียน ครู และผู้ปกครองร่วมกันทำการเกษตรในโรงเรียน แล้วนำผลผลิตที่ได้ มาประกอบเป็นอาหารกลางวัน โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานเงิน สิ่งของ พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ วัสดุอุปกรณ์การเกษตร และอุปกรณ์การประกอบอาหารให้แก่โรงเรียนในโครงการ การดำเนินงานของโครงการนี้นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารกลางวันแล้ว ยังทำให้เด็กนักเรียนได้รับความรู้ด้านโภชนาการและด้านการเกษตรแผนใหม่ ที่สามารถนำไปใช้ประกอบเป็นอาชีพได้ต่อไป
วัตถุประสงค์ เพื่อให้นักเรียนมีอาหารกลางวันที่มีคุณค่าทางโภชนาการ บริโภคตลอดปีการศึกษาโดยใช้ผลผลิตการเกษตรที่ผลิตขึ้นภายในโรงเรียนมาประกอบอาหาร
กิจกรรมที่สำคัญ
- 1. พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร
- 2. ผลิตอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการในโรงเรียน ทั้งเนื้อสัตว์ ปลา ถั่วเมล็ดแห้ง พืชผักและผลไม้ที่หลากหลายเหมาะสมกับท้องถิ่นโดยเฉพาะกล้วยและมะละกอ โดยใช้รูปแบบการเกษตรแบบผสมผสานและชีววิธี ให้มีผลผลิตที่หลากหลายหมุนเวียนกันอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับแผนการประกอบอาหารของโรงเรียน
- 3. ส่งเสริมการถนอมอาหารที่มีเหลือใช้ เพื่อเก็บไว้ใช้ในฤดูขาดแคลน
- 4. ประกอบอาหารกลางวันและอาหารเสริมที่มีคุณค่า และถูกสุขลักษณะ
- 5. เฝ้าระวังและติดตามทางโภชนาการ รวมทั้งการตรวจสุขภาพและปรับปรุงภาวะโภชนาการของนักเรียนและของชุมชน
- 6. จัดการเรียนการสอนเรื่องการเกษตรและโภชนาการในโรงเรียนให้สอดคล้องกับกิจกรรมของโครงการ
2.โครงการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีน
ความเป็นมา
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตระหนักถึงปัญหาการระบาดของโรคคอพอกเนื่องมาจากการขาดสารไอโอดีนทั้งจากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขและจากการที่พระองค์ทรงพบเห็นในระหว่างเสด็จฯไปทรงเยี่ยมเด็กนักเรียนในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนจึงมีพระราชดำริที่จะดำเนินการเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยเสริมการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข โครงการนี้ได้เริ่มดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๓ โดยคาดหวังว่า หากมีการดำเนินงานควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องแล้ว ก็จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาสาธารณสุขของประเทศโดยส่วนรวมได้
วัตถุประสงค์ เพื่อควบคุมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนในพื้นที่ทุรกันดาร
กิจกรรมที่สำคัญ
1.หยดน้ำเสริมไอโอดีนให้นักเรียนดื่มเป็นประจำทุกวัน
2.แจกเกลือไอโอดีนให้นักเรียนไปประกอบอาหารที่บ้าน
3.ร่วมมือกับสาธารณสุขในพื้นที่ตรวจโรคคอพอกและให้ความรู้แก่ประชาชน
3.โครงการส่งเสริมโภชนาการและสุขภาพอนามัยแม่และเด็กในถิ่นทุรกันดาร
ความเป็นมา
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีทรงห่วงใย เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารและได้โปรดเกล้าฯให้จัดทำแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารฉบับแรกขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการทำงานพัฒนาจนถึงปัจจุบัน ได้จัดทำแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๖๐–๒๕๖๙) เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ขยายการพัฒนาจากโรงเรียนสู่ชุมชนผลักดันให้สถานศึกษาพัฒนาเป็นศูนย์บริการความรู้ สามารถถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการพัฒนาให้กับผู้ปกครองชุมชน
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2558 สมเด็จพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดการประชุม และ มีพระราชดำรัส ความว่า “สุขภาพของเด็กและเยาวชนเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ...ควรได้รับการดูแลทั้งด้านสุขภาพร่างกายสุขภาพจิตใจ เพื่อให้เจริญเติบโตอย่างเหมาะสม มีสภาพร่างกายและจิตใจพร้อมที่จะศึกษาเล่าเรียน และมีความคิดเห็นอันเหมาะควร ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องตลอดจนผู้ปกครอง ครู อาจารย์ ควรจะต้องช่วยกันประคับประคองดูแล เช่น ในด้านสุขอนามัย การรักษาพยาบาล โภชนาการ เป็นที่ปรึกษาแนะนำในเรื่องต่างๆ ที่จะช่วยทางด้านจิตใจ ที่สำคัญจะต้องดูแลให้ทั่วถึงไปจนถึงเด็กและเยาวชนเป็นจำนวนมากในถิ่นทุรกันดาร เด็กและเยาวชนเหล่านี้ หากได้รับการดูแลให้มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดี ในภายภาคหน้าจะสามารถเป็นกำลังช่วยเหลือครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติได้เป็นอย่างดี....”
วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมให้หญิงมีครรภ์ หญิงให้นมบุตร และเด็กทารกแรกเกิดจนถึง 3 ปี ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารได้รับบริการที่เหมาะสมและได้รับความรู้ด้านอาหารและโภชนาการ
กิจกรรมที่สำคัญ ร่วมกับ จนท.อนามัย ในพื้นที่ ให้ความรู้เรื่องโภชนาการและสุขภาพอนามัยแก่หญิงมีครรภ์ และ สสน. อาหารเสริม วิตามิน ให้กับหญิงมีครรภ์
4.โครงการส่งเสริมคุณภาพการศึกษา
ความเป็นมา
เป็นโครงการที่ดำเนินการขี้นในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ เพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารซึ่งประสบกับความขาดแคลนในหลายๆ ด้าน ให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับอย่างถูกต้อง ด้วยวิธีการและเทคโนโลยีที่จะช่วยให้นักเรียนได้รับความรู้ความเข้าใจในวิชาการอย่างดี พร้อมที่จะไปศึกษาต่อในระดับสูงต่อไปได้เท่าเทียมกับคนอื่นๆ และช่วยให้ครูโดยเฉพาะอย่างยิ่งครูตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งไม่ได้มีอาชีพครูโดยตรงทำหน้าที่ครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของนักเรียน
กิจกรรมที่สำคัญ ปรับปรุงอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม เพื่อใช้เกื้อหนุนในการเรียนการสอน, จัดกิจกรรมสัมพันธ์ชุมชน , พร้อมให้นักเรียนศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม
5.โครงการนักเรียนในพระราชานุเคราะห์
ความเป็นมาของทุนการศึกษานักเรียนในพระราชานุเคราะห์
โครงการนักเรียนในพระราชานุเคราะห์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเริ่มดาเนินการเมื่อปีพ.ศ. 2531 ส่งเสริมให้นักเรียนที่จบการศึกษาภาคบังคับแต่ขาดโอกาสในการศึกษาต่อเนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจนได้มีโอกาสศึกษาในระดับสูงขึ้นเพื่อให้มีความรู้ทักษะและประสบการณ์สาหรับใช้ในการประกอบอาชีพและนากลับไปพัฒนาท้องถิ่น
วัตถุประสงค์
- เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนจากโรงเรียนในถิ่นทุรกันดารได้มีโอกาสศึกษาต่อสูงขึ้นตามความสามารถและความเหมาะสมตามระดับสติปัญญา
- เพื่อให้นักเรียนจากถิ่นทุรกันดารสามารถนาความรู้ไปพัฒนาท้องถิ่นของตนเองให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป
- เพื่อปลูกฝังและพัฒนานักเรียนโรงเรียนในถิ่นทุรกันดารให้เห็นคุณค่าของการศึกษาความสานึกในความเป็นคนไทยมีความรักถิ่นฐานรักประเทศและรักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข
- เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานักเรียนตามโรงเรียนในถิ่นทุรกันดารให้มีความเจริญก้าวหน้าทั่วกัน
กิจกรรมที่สำคัญ คัดเลือกนักเรียนที่เรียนจบชั้น ป.6 เข้าเป็นนักเรียนพระราชานุเคราะห์
6.โครงการฝึกอาชีพ
ความเป็นมา
เป็นโครงการที่โปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกอาชีพให้กับศิษย์เก่าโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่ไม่อาจศึกษาในระดับสูงต่อไปได้ และเน้นให้มีการฝึกอาชีพที่เหมาะสมสำหรับท้องถิ่นนั้นๆ ในระยะเริ่มแรกให้จัดทำในโรงเรียนทดลองก่อนภาคละ ๑ โรง โดยมีกรมอาชีวศึกษา(ขณะนั้น) รับไปสนองพระราชดำริฯ
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อให้นักเรียนในโรงเรียนมีทักษะพื้นฐานในการประกอบอาชีพ
๒. เพื่อให้เยาวชนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนมีวิชาชีพติดตัวและสามารถนำไปประกอบอาชีพได้
กิจกรรมสำคัญ
๑. ฝึกทักษะและความรู้ด้านวิชาชีพให้แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียน
๒. ส่งเสริมอาชีพให้แก่เยาวชนในท้องถิ่น
๓. ส่งเสริมความร่วมมือจากภาคเอกชน
๔. ดำเนินงานฝึกอาชีพในศูนย์ฝึกอาชีพนักเรียนเก่าโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน
7.โครงการส่งเสริมสหกรณ์
ความเป็นมา
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเห็นว่า การปลูกฝังสหกรณ์แก่เด็กและเยาวชน โดยเริ่มจากโรงเรียนเป็นอันดับแรก จะก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในกลุ่มของเด็กนักเรียน ตลอดจนครูและประชาชนในท้องถิ่นอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม การรวมกลุ่มกันในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้น จึงมีพระราชกระแสกับอธิบดีกรมตำรวจ ณ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านภู่ต่าง อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๔ ให้ดำเนินการสหกรณ์ในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และมีพระราชกระแสกับอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๔ ให้ส่งเสริมวิธีสหกรณ์ให้แพร่หลายไปยังเด็กนักเรียน จึงได้เริ่มดำเนินโครงการการส่งเสริมสหกรณ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นต้นมางการส่งเสริมสหกรณ์
วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความรู้ ทักษะด้านสหกรณ์ และสร้างลักษณะนิสัยที่สอดคล้องกับ อุดมการณ์สหกรณ์ให้แก่เด็กนักเรียน
กิจกรรมที่สำคัญ
๑. จัดการเรียนการสอนวิชาสหกรณ์
๒. จัดให้มีกิจกรรมสหกรณ์ภาคปฏิบัติ เช่น กิจกรรมร้านค้า กิจกรรมออมทรัพย์ และกิจกรรมการเกษตร เพื่อเป็นการฝึกทักษะของนักเรียนในการดำเนินกิจกรรมสหกรณ์ตามความพร้อมของแต่ละโรงเรียน
๓. จัดให้มีการศึกษาดูงาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับสหกรณ์ตัวอย่าง
8.ภาพถ่ายโรงเรียนและภาพประกอบกิจกรรมตามโครงการ
ภาพอาคารเรียน
กิจกรรมปลูกผัก
9.ผลิตภัณฑ์ตามโครงการฝึกอาชีพ
10.ภาพถ่ายรับเสด็จฯตรวจเยี่ยมโรงเรียน
แผนที่ รร.ตชด.บ้านท่าวังหิน